The Countryside of Chithurst

Reflections of Buddhist monastic life in England

เด็กชายกับความมืด

Posted by phrajew บน สิงหาคม 5, 2006

 

                กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายผู้กลัวความมืดอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ชายป่า  เขาชอบสะสมทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้แสงสว่าง  ตะเกียง โคมไฟ และเทียนไขเป็นของที่เขาโปรดปรานมากที่สุด  ทุกคืนเขาจะขังตัวเองอยู่ในห้องพร้อมกับจุดตะเกียงให้สว่างจ้าตลอดทั้งคืน

            คืนวันหนึ่ง พ่อแม่ของเด็กชายออกไปงานเลี้ยงนอกบ้านและปล่อยให้เขาอยู่บ้านตามลำพัง  เขาเดินไปจุดตะเกียงและเทียนไขตามห้องต่าง ๆ ทีละห้อง จนบ้านทั้งหลังดูสว่างโพลนเหมือนมีไฟลุกอยู่ข้างใน 

                เด็กชายใช้ตะเกียง โคมไฟ และเทียนไขที่สะสมไว้จนหมดเกลี้ยง  ภายในเวลาไม่นาน แสงไฟภายในบ้านก็ค่อย ๆ หรี่ลงทุกขณะ  เมื่อเปลวเทียนสุดท้ายดับลง  เด็กชายก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางความมืดสนิทที่ไม่เคยพบมาก่อน  เขารู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน

            ชั่วขณะแห่งความกลัวนั้นเอง สายลมแผ่วไหวก็พัดเข้ามาทางหน้าต่าง  สายลมผู้ผ่านโลกมานานสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเด็กชายจึงกระซิบข้างหูของเขา  อย่ากลัวไปเลย  ฉันจะพาเธอไปรู้จักกับความมืดในด้านที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน  ตามฉันมาสิเด็กน้อย  น้ำเสียงอ่อนโยนของสายลมช่วยให้เด็กชายคลายความหวาดหวั่น  เขาค่อย ๆ เดินออกจากห้องแล้วเปิดประตูไปสู่ความมืดที่เขาไม่เคยกล้าทำความรู้จัก

            สายลมพาเด็กชายออกไปกลางทุ่ง  ณ ที่แห่งนั้น เด็กชายพบแผ่นหินใหญ่ที่ดูดซับเอาไอแดดในยามกลางวันเอาไว้  เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ค่อย ๆ คลายออกมาจากก้อนหิน  เขาจึงล้มตัวลงไปนอนแผ่ราบด้วยความเต็มอกเต็มใจ

            “ดูโน่นสิตรงโค้งฟ้าเบื้องบน เด็กชายเห็นประกายแสงดาวระยิบนับแสนนับล้านดวง  นั่นแสงสว่างเต็มไปหมดเลย เด็กชายร้องอุทาน  ถูกแล้ว แสงสว่างยามค่ำคืนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน สายลมตอบรับเบา ๆ

            เด็กชายเพลิดเพลินกับการนับแสงแห่งดวงดาวจนกระทั่งเผลอหลับไป  เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที เขาก็ได้พบว่าความมืดได้อยู่เคียงข้าง และกลายเป็นเพื่อนของเขาเช่นเดียวกับสายลมผู้อ่อนโยน  ความสงัดยามค่ำคืนที่เคยน่าหวาดกลัวกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่กับตัวเองได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา

            นับแต่คืนนั้น  เด็กชายไม่เคยสะสมตะเกียง โคมไฟ และเทียนไขอีกเลย

4 Responses to “เด็กชายกับความมืด”

  1. worrawit said

    ดีใจจังครับ ในที่สุดก็ได้กลับมาอ่านงานเขียนดีๆ ของครูบาอีกครั้ง หลังจากที่ครูบาเข้าวิเวกครับ

  2. iTeau said

    กราบนมัสการครับ ชอบมากเลยครับ ได้ข้อคิดดีมากครับ

  3. soilmatter said

    นี่แหละหนอ ที่เขาบอกว่าทุกอย่างมีหลายด้านเสมอ

  4. วิภาศรี จ้อยสูงเนิน said

    ปราศจากซึ่งความทะยานอยาก บุคคลย่อมโปร่งใส
    หากความทะยานอยากเข้าครอบงำ บุคคลย่อมมืดบอด

    ทางสว่างโชติช่วง…แลดูเหมือนมืดมิด
    เดินทางไปข้างหน้า…ดูคล้ายกับว่าถอยหลัง
    วิถีทางที่ง่าย…ดูเหมือนว่ายาก
    คุณธรรมอันสูงสุด… จึงดูเหมือนว่างเปล่า

ส่งความเห็นที่ soilmatter ยกเลิกการตอบ