The Countryside of Chithurst

Reflections of Buddhist monastic life in England

ต้นไม้แห่งชีวิต

Posted by phrajew บน สิงหาคม 8, 2006

                ต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่งที่อยู่กลางสวนมีเชือกและริบบิ้นหลากสีพาดพันอยู่  และมีสิ่งละอันพันละน้อยแขวนอยู่อย่างน่าเอ็นดู   ถัดลงมาตรงโคนต้นมีพุ่มดอกไม้ หลากสีขึ้นอยู่โดยรอบ  ตรงกลางพุ่มดอกไม้นั้นวางแผ่นหินที่มีชื่อแกะสลักเอาไว้ว่า ชาร์ลอตต์

                ที่มาของต้นไม้ดังกล่าวนี้น่าสะเทือนใจนัก  เพราะชาร์ลอตต์เป็นหญิงสาวชาวสวีเดนที่เสียชีวิตไปกับมหันตภัยสึนามิ  ในการทำพิธีรำลึกถึงผู้วายชนม์ที่จังหวัดภูเก็ตนั้น  พระฝรั่งชาวสวีเดนได้รับนิมนต์ร่วมกับคณะวัดป่านานาชาติเพื่อปลอบประโลมใจญาติมิตรผู้สูญเสีย  พ่อแม่ของชาร์ลอตต์เกิดความสนใจในพุทธศาสนาและเดินทางมาเยี่ยมวัดที่อังกฤษในระยะเวลาต่อมา 

                ต้นไม้นี้ปลูกขึ้นเป็นที่ระลึกถึงชาร์ลอตต์โดยมีพระสงฆ์และแม่ชีร่วมเป็นพยาน  และในระหว่างปลูกก็มีการสวดพุทธมนต์บทที่ไพเราะกินใจมากที่สุดนั่นคือ กรณียเมตตาสูตร

                เมื่อมองไปรอบ ๆ บริเวณวัด  จะเห็นได้ว่ามีต้นไม้ในลักษณะเช่นเดียวกันไม่น้อยเลย  บางต้นปลูกมานานจนสูงท่วมตัว  บางต้นออกดอกออกผลเป็นที่น่าชื่นตาชื่นใจ  แนวคิดเรื่องการปลูกต้นไม้เป็นที่ระลึกนี้น่าจะนำไปใช้ในเมืองไทยบ้าง  เพราะต้นไม้ที่เติบโตให้ร่มเงาเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายมากกว่าแท่งหินที่สลักไว้เพียงชื่อและข้อความสั้น ๆ เท่านั้น   

ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นความทุกข์ของมนุษย์ทุกคน  เป็นสัจธรรมสากลที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ทุกชนชาติ  และเป็นความจริงพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเผชิญ   หากไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจที่รับมือกับความพลัดพรากสูญเสียนี้ เราจะต้องประสบกับความทุกข์วิปโยคอย่างแสนสาหัสกันถ้วนหน้า 

                การระลึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเราจะต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ควรจะทำให้จิตใจเศร้าหมอง แต่กลับจะทำให้เรามองเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันมากยิ่งขึ้น  บ่อยครั้งที่เราหงุดหงิดขุ่นเคืองกับคำพูดหรือการกระทำของคนรอบข้าง  แต่เรามักจะได้พบว่าในช่วงเวลาของการจากพราก  คำพูดและการกระทำเหล่านั้นดูเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การใส่ใจเลยด้วยซ้ำ  แล้วเหตุใดเราจึงหงุดหงิดขุ่นเคืองต่อกันได้มากถึงเพียงนี้

                นอกจากนั้น สัจธรรมของชีวิตที่มีการผันแปรไปสู่ความดับสลายยังช่วยให้เห็นคุณค่าของวันเวลาที่มีอยู่ด้วย  เพราะยิ่งมีเวลาน้อยเท่าใด เราก็ยิ่งต้องใช้ชีวิตให้สมคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น  ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด และไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันกับตัวเองหรือไม่  เราจึงมีเพียงวันนี้ เวลานี้เท่านั้นที่จะเตรียมตัวให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น 

                มีสิ่งใดบ้างไหมที่เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตแต่เรายังไม่ได้ลงมือเสียที  และมีสิ่งใดบ้างไหมที่เรากะว่าจะทำในปีหน้าหรือสิบปีข้างหน้า  เราแน่ใจได้หรือว่าจะมีเวลาไปถึงขณะนั้น 

                ท่าทีของการพิจารณาดังกล่าวนี้ ภาษาพระเรียกว่า อภิณหปัจจเวกขณ์ หรือสิ่งที่ควรจะพิจารณาและระลึกถึงอยู่บ่อย ๆ  เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตให้อยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น  ไม่หลงละเมอใฝ่ฝันไปกับอนาคตอันเลื่อนลอย หรือมัวแต่อาลัยอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว

                ทุกครั้งที่มองเห็นต้นไม้ซึ่งปลูกเป็นที่ระลึก  เราควรจะนึกได้ว่าการเติบโตงอกงามนั้นมีรากฐานของความพลัดพรากสูญเสีย  และควรจะสานต่อคุณค่าของผู้ที่จากไปด้วยการดำรงชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อจะยังประโยชน์ให้กับทั้งตนเองและผู้อื่น เหมือนดังต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปตามกาลเวลา และไม่เคยหยุดยั้งที่จะเติบโตงอกงาม

ใส่ความเห็น