ไม่ได้ดั่งใจ
Posted by phrajew บน ตุลาคม 12, 2006
ใจของคนเรานั้นแสนจะสลับซับซ้อน ความสนุกอย่างหนึ่งของนักปฏิบัติธรรมคือ การมองเห็นกลไกในจิตใจของตนเองที่สามารถสร้างความทุกข์ความกังวลใจได้ในชั่วพริบตา แน่นอนว่าอารมณ์ต่าง ๆ ย่อมไม่ทำให้เกิดความรู้สึกที่น่าพึงพอใจนัก แต่การรู้จักถอนตัวออกมามอง แทนที่จะกระโจนเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอารมณ์นั้น อาจสร้างความสุขอีกลักษณะหนึ่งขึ้นมาทดแทน ความสุขที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจของตนเองนี้ ภาษาทางพระเรียกว่า ‘สุขจากปัญญา’
คนทั่วไปมักรังเกียจความทุกข์ และอยากหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากทุกข์นั้นเกิดขึ้นในใจ เราย่อมไม่อาจจะหนีไปไหนได้ ทางออกที่มักจะใช้กันคือเพิกเฉยไม่ใส่ใจ หรือไม่ก็หาทางเบี่ยงเบนด้วยการหาอะไรที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนลืมความทุกข์นั้นไปได้ชั่วคราว การรู้จักหลบหลีกนี้เป็นกลยุทธ์ที่ดีในเวลาที่ความทุกข์นั้นหนักหนาเกินกว่าจะเผชิญได้ในช่วงเวลานั้น แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่าปัญหายังคงอยู่ และไม่ทำให้การหลีกหนีเบี่ยงเบนนั้นกลายเป็นปัญหาที่ทำให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
บรรดาพระสงฆ์ในระดับครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพนั้น ท่านพูดถึงความทุกข์กันบ่อยครั้งมาก ไม่เชื่อก็ลองไปนั่งนับดูว่าในระหว่างการเทศน์บรรยายธรรมหรือแม้กระทั่งการสนทนาในชีวิตประจำวัน ท่านเอ่ยถึง ‘ทุกข์’ มากน้อยเพียงใด ว่ากันว่าพระภิกษุในครั้งพุทธกาล เมื่อพบปะกัน ท่านมักจะทักทายกันว่า ‘ยังพอทนได้หรือเปล่า’ มากกว่าจะเป็น ‘สบายดีหรือ’ อย่างที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยเห็นปุถุชนคนไหนจะเบิกบานมีความสุข และมองอะไรในแง่น่าขันได้มากเท่ากับบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ยิ่งอยู่ใกล้ชิดก็ยิ่งน่าพิศวงว่าเหตุใดท่านจึงมีความสุขได้ถึงเพียงนั้น ดังกรณีของหลวงพ่อชานั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ฝ่ายพระหรือฆราวาส ทั้งไทยทั้งฝรั่ง ต่างรู้สึกอยากเข้าใกล้หลวงพ่อด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเวลาหลวงพ่อชารับแขกและตอบปัญหาญาติโยม พระทั้งหลายพากันแย่งทำหน้าที่อุปัฏฐาก เพราะรู้ดีว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ได้หัวเราะกันอย่างเต็มเสียง ทั้งสนุกและได้ความรู้ยิ่งกว่าเวลาอื่น
เป็นเรื่องน่าคิดว่า คนที่พูดเรื่อง ‘ทุกข์’ บ่อยครั้งเท่าใด ดูเหมือนว่าจะยิ่งมองชีวิตในแง่ดี และหาความสุขได้จากชีวิตได้มากขึ้นเท่านั้น ลักษณะเช่นนี้เป็นจุดเด่นของพุทธศาสนาที่ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายอย่างที่คนจำนวนมากเข้าใจ เพราะทุกข์ในความหมายตามหลักอริยสัจนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เข้าไปยึดครองเป็นเจ้าของ ยิ่งเรียนรู้มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอิสระจากทุกข์ได้มากเท่านั้น
ความสุขที่เกิดจากปัญญาแม้จะไม่มีรสชาติอันชวนให้ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ก็เป็นความสุขสงบอีกอย่างหนึ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ต่างจากน้ำเปล่าที่ดูเหมือนไม่มีรสชาติ แต่ก็ดับกระหายและสร้างความชุ่มเย็นได้มากกว่าน้ำอัดลมหลากสีหลายรส และแม้คนจำนวนมากจะนิยมเลือกน้ำดื่มชนิดหลัง แต่คงไม่มีใครกล้าแย้งว่าน้ำเปล่ามีประโยชน์ต่อร่างกายน้อยกว่า
โดยปกติคนเรามักมีความคาดหวังที่จะให้ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามที่ใจนึก หรืออย่างน้อยก็เป็นไปตามแผน (ที่คิดว่าวางไว้อย่างรอบคอบ) แต่ความเป็นจริงมักจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะมีเหตุปัจจัยและบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ชีวิตไม่เคยเป็นไปตามความนึกคิดของใคร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม
เมื่อความคาดหวังมักจะอยู่ตรงข้ามกับความเป็นจริง คนเราจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นทุกข์หรือกังวลใจกับเรื่องราวในชีวิตอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
เรื่องที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ หากเผชิญกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ทีละเรื่อง คนส่วนใหญ่สามารถรับมือได้ไม่ยากนัก แต่เมื่อใดที่เรื่องราวน่าขัดใจเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นชุด ความหงุดหงิดที่สะสมในใจก็จะผสานกันเป็นระเบิดลูกใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้น คนที่อยู่ใกล้ต้องพากันรีบแจว มิฉะนั้นแล้วจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย
กลไกการทำงานในใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และพึงระมัดระวังไม่ให้มีอิทธิพลครอบงำความเป็นไปของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ลองจินตนาการถึงเช้าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาด้วยความขุ่นมัว จะเป็นเพราะเข้านอนดึกเกินไป ฝันร้ายหรือนอนไม่ค่อยหลับก็ตามแต่ จากนั้นก็มีคนโทรศัพท์มารายงานว่า เรื่องที่เคยตกลงกันไว้ไม่อาจจะทำได้เสียแล้ว ขณะที่เราพยายามจะทำใจให้ยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ต้องผจญกับสถานการณ์รถติดอย่างหนักในขณะที่ออกจากบ้าน ครั้นพอถึงที่ทำงานปรากฏว่าเรื่องสำคัญไม่อาจดำเนินต่อไปได้ เพราะเพื่อนร่วมงานเกิดความสะเพร่าในการเตรียมอุปกรณ์ที่สำคัญไป ส่วนลูกน้องอีกคนก็ถือวิวาสะทำอะไรบางอย่างโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน หากต้องเผชิญกับเรื่องราวมากมายเช่นนี้ คงเดาได้ไม่ยากว่าอารมณ์ภายในใจจะเป็นเช่นใด กับดักทางความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ที่ว่า เหตุทั้งหลายดูจะมีที่มาจากความผิดพลาดของคนอื่นเป็นหลัก เพราะหากตัวเราเองเป็นสาเหตุของปัญหา เรามักจะหาทางให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ต่างจากเรื่องที่สามารถโทษคนอื่นได้ เพราะความผิดพลาดดูจะทวีขึ้นทุกขณะที่นึกถึง ยิ่งผสานกับความผิดพลาดที่บุคคลนั้นทำในอดีตด้วยแล้ว ยิ่งลุกลามใหญ่โตขึ้นทุกที
ปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติเหล่านี้ หากเรามีเวลาที่จะตั้งสติและพิจารณาแยกแยะให้ดี เพียงแค่รู้สึกตัวอย่างชัดเจนว่ากำลัง ‘รู้สึก’ อย่างไร ความทุรนทุรายในใจจะลดลงไปได้มาก และหากตั้งคำถามกับตัวเองได้ว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัวเหล่านั้น คำตอบที่ได้รับจะทำให้สามารถวางใจเป็นกลางและมีท่าทีต่อสถานการณ์รอบข้างได้อย่างสมเหตุสมผลขึ้น มิฉะนั้นแล้ว เราอาจพูดหรือทำอะไรที่ทำให้รู้สึกเสียใจในภายหลัง
แม้จะยังไม่ใช่พระอรหันต์ แต่เราทุกคนก็มีสิทธิในการปล่อยวางความร้อนรนในจิตใจได้เท่าเทียมกัน เมื่อใดที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตไม่เป็นไปดั่งใจ เมื่อนั้นก็เป็นโอกาสในการฝืนกิเลสและฝึกฝนตนเอง ความพยายามในเรื่องดังกล่าวนี้จัดเป็นสัมมาวายาโมหรือความพากเพียรชอบในมรรคแปดประการ และยิ่งเราก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้มากเพียงใด เราย่อมค้นพบเคล็ดลับของความสุขในชีวิตมากขึ้นทุกที
คำอวยพรที่ดีที่สุดประการหนึ่งในทางพุทธศาสนา คือ ขอให้เจริญในมรรคแปด และการเจริญดังกล่าวนี้เริ่มต้นด้วยการลงมือ ‘ทำ’ ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
worrawit said
สาธุ . . . . ครับ
worrawit said
กลับมาอ่านอีกที ก็ยิ่งชอบบทความนี้ของครูบามากครับ