ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา ชีวิตของคนเราก็คงจะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน ล้วนแต่เป็นของชั่วคราวที่จะต้องมีการยุติลงสักวันหนึ่ง ความจริงข้อนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกหรือความต้องการของใคร ถึงจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่ดี
นับตั้งแต่มาถึงอังกฤษเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมของปีที่ผ่านมา วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนแทบไม่มีโอกาสได้นั่งคิดถึงเมืองไทย เพิ่งช่วงใกล้จะกลับนี้เองที่เริ่มนึกว่ามีอะไรที่จะต้องกลับไปทำบ้าง แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่ช่วงเวลาที่เป็นสุขหรือสนุกสนานจนไม่ทันคิดถึงเรื่องอื่นแต่ประการใด เพียงแต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องคิดล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาก็ค่อย ๆ คิดอ่านกันต่อไปเท่านั้นเอง
ด้วยความที่ปรับตัวให้เข้ากับความเป็นอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกได้อย่างกลมกลืน เพื่อนหลายคนจึงล้อว่า สงสัยจะต้องกลับไปเรียนรู้วัฒนธรรมไทยใหม่อีกกระมัง หารู้ไม่ว่าที่จริงแล้ววัฒนธรรมไทยนั่นเองที่เป็นปัจจัยสำคัญของการปรับตัว เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว คนไทยมีนิสัยค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับความคิดเห็นของตนเองจนเกินไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ยอมรับความแตกต่างได้ไม่ยากนัก และส่งผลให้ปรับตัวได้ง่ายตามไปด้วย
การอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ไม่ว่าจะต่างวัฒนธรรมกันมากน้อยเพียงใด ย่อมจะต้องมีข้อขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา การคลี่คลายปัญหาที่ว่านี้ต้องอาศัยการเปิดใจให้กว้าง ไม่เอาแต่ความเห็นของตนเองเป็นเครื่องตัดสินแต่ถ่ายเดียว และพยายามทำความเข้าใจรากฐานที่มาของวัฒนธรรมนั้น ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เท่าที่ผ่านมาคิดว่าใช้ชีวิตท่ามกลางชุมชนตะวันตกได้อย่างราบรื่นและเป็นสุขพอสมควร สามารถสืบสานสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้หลากหลายและมีโอกาสทำประโยชน์ให้กับชุมชนที่อยู่ได้ไม่น้อย ทั้งนี้เนื่องจากมีบทบาทอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ที่อาวุโสกับคนที่เข้ามาใช้ชีวิตในวัดได้ไม่นานนัก ทำให้ได้รับฟังปัญหาและช่วยให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ บ่อยครั้ง การที่ทำบทบาทนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเก่งหรือฉลาดล้ำเลิศแต่ประการใด เพราะบางคราวคนเราก็ต้องการเพียงแค่เพื่อนที่จะรับฟังปัญหาต่าง ๆ ที่คับข้องใจเท่านั้น เวลาตัดสินใจแก้ไขปัญหาก็ต้องทำด้วยตนเองอยู่ดี ไม่สามารถให้ใครตัดสินใจแทนได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการอยู่วัดที่อังกฤษจะมีโอกาสได้ทำประโยชน์เพียงใด หรือสร้างสายสัมพันธ์ได้ดีเท่าใด ชีวิตก็ย่อมต้องเดินหน้าไปตามครรลองที่พึงจะเป็น แม้ว่าจะมีคนหลายคนที่ต้องการให้อยู่ต่อ และมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านก็ตาม แต่เป้าหมายของชีวิตนั้นยังคงพอใจกับการใช้ชีวิตเงียบ ๆ เพื่อการภาวนาอยู่เช่นเดิม
มีกวีคนหนึ่งเปรียบความสัมพันธ์ของคนเราว่า เหมือนท่อนไม้สองท่อนที่ลอยมาพบกันกลางทะเล พอคลื่นลมหักเห ไม้ทั้งสองท่อนก็แยกห่างจากกัน และไม่มีใครรู้ว่าจะหวนกลับมาพบกันอีกหรือไม่ คิดดูแง่หนึ่งก็ฟังดูน่าเศร้าใจ แต่หากหันมามองอีกด้านก็จะเห็นว่าเป็นความจริงของชีวิตที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
หากเราตอบกับตัวเองได้ว่า ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว และแม้จะมีข้อผิดพลาดบกพร่องเกิดขึ้นบ้างก็เป็นธรรมดาของปุถุชน แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะมุ่งร้ายหรือเบียดเบียนใคร เท่านี้ก็น่าจะถือได้ว่าดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้แล้ว
เมื่อคิดเห็นเช่นนี้ การเดินทางจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และการพลัดพรากจากคนกลุ่มหนึ่งเพื่อไปพบปะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งโดยที่อาจไม่มีวันหวนคืนมาพบกันอีก จึงไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าโศก หากแต่เป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจ เพราะเมื่อคิดย้อนหลังไปคราใด เราย่อมพบแต่ความสุขความชื่นใจที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ต่างฝ่ายต่างต้องขอบคุณซึ่งกันและกันที่ช่วยให้ได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตมากขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การลาจากกันคราวนี้จึงเป็นการจากลาด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่ด้วยรอยน้ำตา
หมายเหตุ
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอยุติการเขียนบทบันทึกลงเว็บไซต์แห่งนี้เป็นการชั่วคราว
ขอขอบคุณญาติมิตรที่เข้ามาอ่านทุกท่าน หากมีเหตุปัจจัยเอื้ออำนวย หวังว่าจะได้มีโอกาสเขียนให้อ่านกันอีก แต่เชื่อว่าน่าจะอีกยาวนานพอสมควร
ขออนุญาตส่งกำลังใจมาให้กับทุกท่าน ขอให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ และมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจตลอดไป