ยอมไม่ได้เพราะไม่ยอม
Posted by phrajew บน ตุลาคม 19, 2006
ในระหว่างการประชุมประจำสัปดาห์ พระนวกะรูปหนึ่งทำหน้ามุ่ยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินว่าพระอีกรูปมีโอกาสไปร่วมงานทอดกฐินที่ฮาร์นัม เหตุที่ทำให้ท่านรู้สึกเคืองเพราะเคยเสนอตัวเป็นลำดับแรก แต่ไม่ได้รับเลือกเนื่องจากที่พักไม่พอ มีเพียงพระผู้ใหญ่เท่านั้นที่มีโอกาสได้ไป ท่านก็อุตส่าห์ทำใจยอมรับแม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย แล้วไฉนอยู่ ๆ พระอีกรูปจึงสามารถแทรกคิวเข้ามาได้อย่างนี้
ด้วยความที่เป็นพระภิกษุ สถานการณ์เฉพาะหน้าและวิถีการปฏิบัติทำให้ไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ดังใจ ท่านจึงได้แต่เก็บความขุ่นเคืองไว้ ก่อนที่จะบ่นกับเพื่อนพระที่สนิทกันภายหลังการประชุม
หากสถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับพระไทย ทุกสิ่งทุกอย่างคงต้องเลยตามเลย เพราะใช้นโยบาย ‘แล้วแต่ผู้ใหญ่จะตัดสินใจ’ แม้หลายสิ่งไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็ยกให้ว่า ท่านคงมีเหตุผลของท่าน แต่เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสังคมตะวันตก ทางออกหนึ่งเดียวคือต้องซักถามกันให้รู้เรื่องว่าเหตุผลเป็นอย่างไรกันแน่ จะให้นั่งทำใจเฉย ๆ เป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้
พอได้รับคำชี้แจงว่า พระอีกรูปได้รับนิมนต์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ไปช่วยทำเว็บไซต์ คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายลง สีหน้าโล่งอกโล่งใจเมื่อเหตุผลนั้นเป็นที่ ‘ยอมรับได้’ ความขุ่นข้องหมองใจเลือนลงไปและกลับมายิ้มแย้มได้ดังเดิม
คนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์อดนึกไม่ได้ว่า หากเหตุผลนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ อะไรจะเกิดขึ้น แล้วระยะเวลาที่รู้สึกหงุดหงิดขุ่นเคืองอยู่กว่าสองชั่วโมง ไม่ใช่เวลาที่สูญเปล่าหรอกหรือ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากต้องทำใจยอมรับเช่นเดิม
เรื่องที่เล่ามานี้ ไม่เพียงแต่จะแสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งทางอารมณ์ของพระที่กำลังฝึกฝนตนเองไม่ได้ต่างไปจากปุถุชนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของกระบวนการทำงานในจิตใจได้อีกด้วย เพราะเราทั้งหลายต่างก็มีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่ไม่มากก็น้อย การเรียนรู้จากพฤติกรรมผู้อื่นมักจะเห็นได้ชัดกว่าการมองตัวเองเสมอ
หลายครั้งที่ความรู้สึกขุ่นเคืองเกิดจากการไม่รู้ความจริง ใจของเรานึกคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลเดิมที่มีอยู่ แล้วก็เชื่อไปตามความคิดนั้น เราจึงหลงโกรธอย่างเต็มที่ แถมยังมีเหตุผลให้ตัวเองเสียด้วยว่า เป็นเรื่องที่สมควรโกรธเป็นอย่างยิ่ง
ต่อเมื่อได้รับรู้ความจริงแล้วเท่านั้น ความโกรธจึงหายไปเหมือนปลิดทิ้ง เพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เรานึกคิดปรุงแต่งเอาไว้เลย
ความนึกคิดปรุงแต่งของเราเป็นไปได้ต่าง ๆ นานา อาทิ เขาไม่เห็นคุณค่าของเรา เขาตั้งใจดูถูกดูหมิ่นเรา เขาทำไม่ถูกต้องตามหลักการ เขาไม่ยุติธรรม เขาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เขา……. ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการมองออกไปที่ ‘เขา’ ซึ่งอยู่นอกตัวทั้งสิ้น
หากมีโอกาสย้อนดูตัวเองจะเห็นว่า ภายในใจขณะนั้นเต็มไปด้วยความนึกคิดที่วุ่นวายสับสน และยิ่งเชื่อความเห็นของตัวเองมากเพียงใด ยิ่งหาความสงบไม่พบมากเท่านั้น คำถามที่ควรจะเตือนตัวเองบ่อย ๆ คือ ในภาวะอย่างนี้ เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันแน่
หากทำใจยอมรับเสียง่าย ๆ ว่า ‘ทุกอย่างมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง’ อย่างน้อยความสงบในใจก็เกิดขึ้น ทำให้เรามีเวลาที่จะชื่นชมกับความงดงามเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบข้าง ก่อนที่ความจริงจะปรากฏให้เรารับรู้ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องขวนขวายไปรับรู้ให้เปลืองแรง เพราะหากมีเหตุจะให้รู้ก็ต้องรู้เข้าจนได้ ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
และต่อให้ความจริงเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เราก็ยังไม่มีเหตุที่จะโกรธหรือขุ่นเคืองอยู่ดี เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น ถึงจะไม่พอใจอย่างไร ทุกอย่างก็ไม่เปลี่ยนไปตามความต้องการของเราอยู่ดี และถ้าจะมัวหงุดหงิดกับเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราย่างนี้ เห็นทีจะต้องหงุดหงิดไปทั้งชาติเป็นแน่
ในชาตินี้ ถึงไม่อาจจะทำใจให้ปราศจากความขุ่นเคืองได้อย่างหมดจดสิ้นเชิง แต่การรู้จักทำใจให้เป็นสุขง่ายขึ้นแม้เพียงน้อยนิด ก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงมือทำ
ใส่ความเห็น